[bigglive's diary] EP 13 : เดิน Motor Expo 2018 เพลินๆกับการลองรถยนต์ไฟฟ้าดัง "Nissan Leaf" ที่ขายจริง
วันว่างวันนี้ผมได้มีโอกาสไปเดินงาน Motor Expo 2018 ซึ่งดำเนินมาอีก 2 วันสุดท้าย แน่นอนว่านอกจากรถต้นแบบที่เดี๋ยวเล่าให้ฟังกันในบทความนี้ ผมเองมีประสบการณ์สุดพิเศษมาเล่ากับรถไฟฟ้าคันหนึ่ง ที่วางจำหน่ายในราคา 1.990 ล้านบาท อย่าง Nissan Leaf ใหม่ล่าสุด จะ OK ไหม มาดูกัน


Nissan Leaf รุ่นใหม่นี้ถือเป็น Generation 2 แล้ว ซึ่งหน้าตาเป็นรถปัจจุบันมากขึ้น ไม่ได้ล้ำและฉีกแนวแบบรุ่นแรก แต่ว่ายังคงทันสมัยและออกแบบเน้นการใช้งานในชีวิตจริงมากขึ้น รายละเอียดผมคงไม่ลงลึกมา เว้นแต่นิสสันอยากให้ลองรีวิว อิอิ


ภายในของรถจากที่ผมเคยนั่งรถหลายๆ คันผมเลยนึกถึง Pulsa ที่เพิ่งเลิกทำตลาดไปไม่นาน โดยทั้งหมดเหมือนกัน แต่ว่า เบาะจะสูงกว่า และไมล์นั้นมีวัดความเร็วกับหน้าจอที่เปลี่ยนได้หลายแบบ พร้อมกับวิทยุปุ่มกดต่างๆ เป็นมาตรฐาน และมีระบบอุ่นเบาะให้ด้วย

คันเกียร์เล็กน่ารักและมาพร้อมกับไฟบอกสถานะ และมีปุ่ม E Padal และมีปุ่มประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ตัวรถยังมีลิ้นชักเก็บข้องรอบคัน

เบาะหลังของรถนั่งได้ดี แต่ผมเองสูง 180 cm ด้วยความสูงขนาดนั้นกับการยกเบาะสูงก็เลยทำให้รู้สึกว่า มันสูงไม่ได้เป็นอุปสรรค์แต่อย่างใด


การใส่ของ กระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบเพียงพอต่อการใช้งานของรถแล้ว เรียกได้ว่า Leaf สามารถขนของได้ดีระดับหนึ่ง แต่ว่า ถ้าขนมากไปก็อาจจะเกินพื้นที่ของรถ แต่ถ้าไม่พอ เบาะหลังพับได้ขยายได้อีกครับ

ขุมพลังของรถถือว่าสมตัวเพราะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 150 แรงม้า โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุด 311 กิโลเมตร แต่ว่า ถ้าใช้ในเมือง อาจจะได้น้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับรถ


การชาร์จไฟ ถ้าไฟตามบ้านจะต้องมีกำลังที่มากอยู่ ไม่แนะนำว่า ปลั๊กพ่วงและควรทำไฟบ้านใหม่ให้รองรับ นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จไฟตามห้างได้ โดยถ้าเป็น Quick Charge 30 นาทีได้ 80% ส่วนตามบ้านเร็วสุด 8 - 12 ชั่วโมง แล้วแต่ไฟของบ้าน
คำแนะนำจากที่ได้คุยกับนิสสันคือ เข้าบ้านก็ชาร์จไฟด้วย ทำตัวเหมือนกับแบตฯ มือถือจะดีที่สุด เพราะมันเป็นแบตฯ ลิเทียม

หน้าจอของรถบอกได้ครบทั้งระบบการทรงตัว, สถิติการวิ่ง, บอกข้อมูลการใช้พลังงาน, บอกเพลงว่าคุณเล่นเพลงอะไร, ตั้งค่ารถและอื่นๆ อีกมากมายจนเรียกได้ว่า มันใช้งานง่าย ตัวอักษรอ่านได้ชัดเจนเลยล่ะ
ในเรื่องของระบบความปลอดภัยนอกจากถุงลมนิรภัย ระบบควบคุมการทรงตัว และระบบช่วยออกตัวในทางลาดชันแล้ว ยังมีเรด้าที่สามารถบอกได้ว่ารถคันหน้าหยุดหรือไม่ หากหยุด จะมีการแจ้งเตือนและช่วยเบรคได้ แต่ว่าระบบไม่ได้ฉลาดเท่ากับ Adaptive Cruise Control

อีกความไฮเทคคือ e padel หรือคันเร่งอัจฉริยะ ซึ่งถ้าเหยียบคันเร่งก็รถจะวิ่งไปเองและ ปล่อยคันเร่งไปเลยรถจะหยุด โดยรถจะวิ่งช้าเร็วตามการปล่อยและกดคันเร่ง ซึ่งเป็นโหมดที่ชาร์จไฟได้ดี แต่ว่าเราต้องปรับตัวกับโหมดนี้เพราะถ้าปล่อยเบรคหากเรามาเร็ว รถจะหยุดทันที ต้องระวัง และแนะนำว่าใช้ในเมืองดีกว่า

ความรู้สึกที่ได้ลองขับคือ เงียบมากและเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งที่ออกแบบเพื่อการใช้งานประจำวัน และแรงดึงสมกับการเป็นรถไฟฟ้าเลย ชาร์จไฟได้เร็ว และปั้มชาร์จไฟถือว่ากระจายพอสมควร แม้ว่ายังไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่ก็มีกว่า 210 จุดทั่วประเทศไทยแล้ว
แต่ว่าด้วยราคา สำหรับคนทั่วไปเห็นว่า โหย 2 ล้าน มันได้รถยนต์หลายรุ่นที่เป็นทั้งไฟฟ้า หรือ ไฮบริจ ถ้าคนรักโลกและเทรนด์กำลังมา พร้อมกับการเปิดใจ นี่เป็นอีกรุ่นที่เหมาะสมกับการซื้อมาใช้งาน ผมว่าไม่ได้เลวร้าย จากคนใช้งานรถไฮบริจ

ความจริงแบตเตอรี่ของ Leaf สามารถเปลี่ยนทีละ Cell ได้เหมือนกับของโตโยต้าและมีการประกันอยู่ที่ 8 ปีก็ถือว่ายังรับได้ เพียงแต่ว่า กว่าจะเอามาใช้เองขนาดผม คงต้องศึกษาทั้งการเปลี่ยนระบบไฟบ้าน ดูว่าที่ชาร์จอยู่ที่ไหน และสีของรถมีแค่สีเดียวแม้ว่าจะชอบอยู่ แต่ว่าราคาของรถยังแพงไป ฉะนั้นแล้ว หากใครพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง 2 ล้านไม่ถือว่าแพง เมื่อนิสสันนำเข้ามาเอง ก็ถือว่าเหมาะสม

ส่วนเงิน 2 ล้านถ้าผมมีอาจจะยังไม่ซื้อทันที ขอเก็บอีกหน่อยเพื่อให้ติดตั้งระบบชาร์จได้เพราะต้องลงทุนอีก 7 หมื่นบาท กว่าจะซื้อมาใช้ก็น่าจะไม่เกิน 5 ปีข้างหน้าได้นั่นเอง
ถ้าประกอบในประเทศเมื่อไหร่ มันจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะราคาถูกลงชัดเจนมากเลยครับ


หมายเหตุ : กดซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนรูปครับ
สุดท้ายนี้เรามาดูภาพรถยนต์ภายในงานซึ่งผมได้รวมรถที่สวยงามภายในงานและใครอยากไปชมงานก็มีอีก 2 วันก็อย่าลืมเดินทางไปดูที่ อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ครับ
ส่วนรอบนี้ไม่ขอบคุณอะไรล่ะกันเพราะเดินทางไปลองเอง อิอิ และลองขับเล่นก็จบลงเท่านี้ก่อน เจอกันในครั้งหน้าครับ
วินาทีแรกที่เห็นหน้าตาของ Nissan Leaf


Nissan Leaf รุ่นใหม่นี้ถือเป็น Generation 2 แล้ว ซึ่งหน้าตาเป็นรถปัจจุบันมากขึ้น ไม่ได้ล้ำและฉีกแนวแบบรุ่นแรก แต่ว่ายังคงทันสมัยและออกแบบเน้นการใช้งานในชีวิตจริงมากขึ้น รายละเอียดผมคงไม่ลงลึกมา เว้นแต่นิสสันอยากให้ลองรีวิว อิอิ


ภายในของรถจากที่ผมเคยนั่งรถหลายๆ คันผมเลยนึกถึง Pulsa ที่เพิ่งเลิกทำตลาดไปไม่นาน โดยทั้งหมดเหมือนกัน แต่ว่า เบาะจะสูงกว่า และไมล์นั้นมีวัดความเร็วกับหน้าจอที่เปลี่ยนได้หลายแบบ พร้อมกับวิทยุปุ่มกดต่างๆ เป็นมาตรฐาน และมีระบบอุ่นเบาะให้ด้วย

คันเกียร์เล็กน่ารักและมาพร้อมกับไฟบอกสถานะ และมีปุ่ม E Padal และมีปุ่มประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ตัวรถยังมีลิ้นชักเก็บข้องรอบคัน

เบาะหลังของรถนั่งได้ดี แต่ผมเองสูง 180 cm ด้วยความสูงขนาดนั้นกับการยกเบาะสูงก็เลยทำให้รู้สึกว่า มันสูงไม่ได้เป็นอุปสรรค์แต่อย่างใด


การใส่ของ กระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบเพียงพอต่อการใช้งานของรถแล้ว เรียกได้ว่า Leaf สามารถขนของได้ดีระดับหนึ่ง แต่ว่า ถ้าขนมากไปก็อาจจะเกินพื้นที่ของรถ แต่ถ้าไม่พอ เบาะหลังพับได้ขยายได้อีกครับ
ฟีเจอร์ของรถที่น่าสนใจ

ขุมพลังของรถถือว่าสมตัวเพราะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 150 แรงม้า โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุด 311 กิโลเมตร แต่ว่า ถ้าใช้ในเมือง อาจจะได้น้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับรถ


การชาร์จไฟ ถ้าไฟตามบ้านจะต้องมีกำลังที่มากอยู่ ไม่แนะนำว่า ปลั๊กพ่วงและควรทำไฟบ้านใหม่ให้รองรับ นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จไฟตามห้างได้ โดยถ้าเป็น Quick Charge 30 นาทีได้ 80% ส่วนตามบ้านเร็วสุด 8 - 12 ชั่วโมง แล้วแต่ไฟของบ้าน
คำแนะนำจากที่ได้คุยกับนิสสันคือ เข้าบ้านก็ชาร์จไฟด้วย ทำตัวเหมือนกับแบตฯ มือถือจะดีที่สุด เพราะมันเป็นแบตฯ ลิเทียม

หน้าจอของรถบอกได้ครบทั้งระบบการทรงตัว, สถิติการวิ่ง, บอกข้อมูลการใช้พลังงาน, บอกเพลงว่าคุณเล่นเพลงอะไร, ตั้งค่ารถและอื่นๆ อีกมากมายจนเรียกได้ว่า มันใช้งานง่าย ตัวอักษรอ่านได้ชัดเจนเลยล่ะ
ในเรื่องของระบบความปลอดภัยนอกจากถุงลมนิรภัย ระบบควบคุมการทรงตัว และระบบช่วยออกตัวในทางลาดชันแล้ว ยังมีเรด้าที่สามารถบอกได้ว่ารถคันหน้าหยุดหรือไม่ หากหยุด จะมีการแจ้งเตือนและช่วยเบรคได้ แต่ว่าระบบไม่ได้ฉลาดเท่ากับ Adaptive Cruise Control

อีกความไฮเทคคือ e padel หรือคันเร่งอัจฉริยะ ซึ่งถ้าเหยียบคันเร่งก็รถจะวิ่งไปเองและ ปล่อยคันเร่งไปเลยรถจะหยุด โดยรถจะวิ่งช้าเร็วตามการปล่อยและกดคันเร่ง ซึ่งเป็นโหมดที่ชาร์จไฟได้ดี แต่ว่าเราต้องปรับตัวกับโหมดนี้เพราะถ้าปล่อยเบรคหากเรามาเร็ว รถจะหยุดทันที ต้องระวัง และแนะนำว่าใช้ในเมืองดีกว่า
จากที่ลอง Nissan Leaf ว่าคุ้มค่าหรือไม่

ความรู้สึกที่ได้ลองขับคือ เงียบมากและเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งที่ออกแบบเพื่อการใช้งานประจำวัน และแรงดึงสมกับการเป็นรถไฟฟ้าเลย ชาร์จไฟได้เร็ว และปั้มชาร์จไฟถือว่ากระจายพอสมควร แม้ว่ายังไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่ก็มีกว่า 210 จุดทั่วประเทศไทยแล้ว
แต่ว่าด้วยราคา สำหรับคนทั่วไปเห็นว่า โหย 2 ล้าน มันได้รถยนต์หลายรุ่นที่เป็นทั้งไฟฟ้า หรือ ไฮบริจ ถ้าคนรักโลกและเทรนด์กำลังมา พร้อมกับการเปิดใจ นี่เป็นอีกรุ่นที่เหมาะสมกับการซื้อมาใช้งาน ผมว่าไม่ได้เลวร้าย จากคนใช้งานรถไฮบริจ

ความจริงแบตเตอรี่ของ Leaf สามารถเปลี่ยนทีละ Cell ได้เหมือนกับของโตโยต้าและมีการประกันอยู่ที่ 8 ปีก็ถือว่ายังรับได้ เพียงแต่ว่า กว่าจะเอามาใช้เองขนาดผม คงต้องศึกษาทั้งการเปลี่ยนระบบไฟบ้าน ดูว่าที่ชาร์จอยู่ที่ไหน และสีของรถมีแค่สีเดียวแม้ว่าจะชอบอยู่ แต่ว่าราคาของรถยังแพงไป ฉะนั้นแล้ว หากใครพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง 2 ล้านไม่ถือว่าแพง เมื่อนิสสันนำเข้ามาเอง ก็ถือว่าเหมาะสม

ส่วนเงิน 2 ล้านถ้าผมมีอาจจะยังไม่ซื้อทันที ขอเก็บอีกหน่อยเพื่อให้ติดตั้งระบบชาร์จได้เพราะต้องลงทุนอีก 7 หมื่นบาท กว่าจะซื้อมาใช้ก็น่าจะไม่เกิน 5 ปีข้างหน้าได้นั่นเอง
ถ้าประกอบในประเทศเมื่อไหร่ มันจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะราคาถูกลงชัดเจนมากเลยครับ


หมายเหตุ : กดซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนรูปครับ
สุดท้ายนี้เรามาดูภาพรถยนต์ภายในงานซึ่งผมได้รวมรถที่สวยงามภายในงานและใครอยากไปชมงานก็มีอีก 2 วันก็อย่าลืมเดินทางไปดูที่ อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ครับ
ส่วนรอบนี้ไม่ขอบคุณอะไรล่ะกันเพราะเดินทางไปลองเอง อิอิ และลองขับเล่นก็จบลงเท่านี้ก่อน เจอกันในครั้งหน้าครับ
Post a Comment