อะโดบีเสริมทัพความสามารถผลิตคอนเทนต์ขับเคลื่อนการตลาดดิจิทัล



อะโดบี (Nasdaq:ADBE) เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้บริโภค 51 เปอร์เซ็นต์มีแนวโน้มที่ซื้อสินค้า และ49 เปอร์เซ็นต์มีแนวโน้มที่จะภักดีต่อแบรนด์ ถ้าหากคอนเทนต์ที่นำเสนอมีลักษณะเป็นแบบเฉพาะบุคคล (personalized)  ปัจจุบัน แบรนด์ต่างๆ ได้รับแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นในการนำเสนอคอนเทนต์ที่มีการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลผ่านหลากหลายช่องทาง และจะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งนับเป็นความท้าทายที่สำคัญอย่างมากสำหรับฝ่ายการตลาดและฝ่ายไอที

วันนี้ อะโดบีได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ ใน Adobe Experience Manager ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Adobe Marketing Cloud ใน Adobe Experience Cloud ซึ่งเพิ่มความสะดวกและสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับการนำเสนอประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า ช่วยให้นักการตลาดและฝ่ายไอทีดำเนินการพัฒนาแอพได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น  เวิร์กโฟลว์ที่ได้รับการปรับปรุงช่วยให้นักการตลาด ฝ่ายไอที และครีเอทีฟทำงานได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาดมากขึ้น และทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้าให้เป็นแบบเฉพาะบุคคลได้อย่างเหมาะสม  ด้วยการใช้ประโยชน์จาก Adobe Sensei ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI และ Machine Learning ของอะโดบี แบรนด์ต่างๆ จะสามารถนำเสนอคอนเทนต์ที่เหมาะสมให้แก่ลูกค้าแต่ละราย  เทคโนโลยีชั้นนำของ Experience Manager พร้อมใช้งานแล้วสำหรับองค์กรขนาดกลาง ซึ่งนับเป็นการขยายต่อยอดความเป็นผู้นำในตลาดองค์กรขนาดใหญ่

โลนิ สตาร์ค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์และการตลาดผลิตภัณฑ์ของอะโดบี กล่าวว่า การปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลในขอบเขตที่กว้างขวางครอบคลุมทุกช่องทางการติดต่อสำหรับลูกค้านับเป็นมาตรฐานสำหรับการจัดการประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience Management หรือ CXM) โดยจะต้องมีการผสานรวมเนื้อหาคอนเทนต์ ข้อมูล และข้อมูลเชิงลึกที่มีเพียงอะโดบีเท่านั้นที่สามารถจัดหาให้ได้  นวัตกรรมใหม่ๆ ใน Adobe Experience Manager ช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่นักการตลาดและบุคลากรฝ่ายไอทีในการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า และสร้างช่วงเวลาสุดประทับใจทุกครั้งที่ลูกค้าติดต่อสื่อสารกับแบรนด์

เครื่องมือสำหรับนักการตลาด
เทคโนโลยีใหม่ๆ ใน Experience Manager ช่วยเสริมศักยภาพให้แก่นักการตลาดในบริษัททุกขนาดในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำหรับการดำเนินการอย่างชาญฉลาดดังต่อไปนี้:

  • นำเสนอประสบการณ์ที่น่าดึงดูดใจนักการตลาดสามารถออกแบบ นำเสนอ และปรับแต่งประสบการณ์บนจอแสดงผลดิจิทัลทุกขนาดในทุกสถานที่ตั้ง เช่น จอภาพในร้านค้า หรือตู้บริการอัตโนมัติ โดยรองรับเครือข่ายป้ายประชาสัมพันธ์ดิจิทัลที่ครอบคลุมขอบเขตกว้างขวาง และเวิร์กโฟลว์การเผยแพร่และการอนุมัติที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการนำเสนอ และรักษาความสอดคล้องกันของแคมเปญภายในร้านค้า  แบรนด์ต่างๆ จะสามารถปรับแต่งประสบการณ์ ด้วยการปรับเปลี่ยนเนื้อหาคอนเทนต์อย่างยืดหยุ่นให้สอดรับกับบริบท เช่น รายการสินค้าในสต็อก หรือสภาพอากาศ และเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ โดยอาศัยการผนวกรวมระบบ Adobe Analytics  นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างสรรค์และจัดการประสบการณ์การซื้อสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการผนวกรวม Experience Manager เข้ากับ Magento Commerce Cloud

  • จัดการและค้นหาแอสเซ็ท (Assets) ที่เหมาะสมเป็นเรื่องในอดีตไปเสียแล้วกับการเลือกดูคลิปที่เกี่ยวข้องสำหรับช่องทางต่างๆ ของแบรนด์ เพราะปัจจุบัน การใช้ Smart Tags ครอบคลุมไปถึงวิดีโอ โดยมีการใช้ Adobe Sensei เพื่อดำเนินการค้นหาวิดีโอโดยอัตโนมัติ ด้วยแท็กอัจฉริยะที่เกี่ยวข้องกับการกระทำ ลักษณะ และวัตถุ  นอกจากนั้นVisual Search ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Adobe Sensei จะสามารถระบุภาพที่คล้ายคลึงกับแอสเซ็ทที่เฉพาะเจาะจง โดยใช้เวลาไม่กี่วินาที เช่น ภาพคนถือถุงช้อปปิ้งในย่านไทม์สแควร์ เป็นต้น  บริการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูงใน Brand Portal จะให้วิธีที่รวดเร็วและยืดหยุ่นมากกว่าในการจัดการแอสเซ็ทต่างๆ ร่วมกับทีมงานในทุกที่ทั่วโลก  นักการตลาดจะสามารถกำหนดค่าการควบคุมสิทธิ์การใช้งาน เพื่อให้แน่ใจว่ามีเพียงบางทีมงานหรือบางภูมิภาคเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงแอสเซ็ทที่ผ่านการอนุมัติ

  • ปรับแต่งวิดีโอสำหรับทุกช่องทางการใช้งานวิดีโอในแนวตั้งผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Instagram และ WeChat ทำให้บริษัทจำเป็นต้องตัดต่อวิดีโอเพื่อให้เหมาะกับสมาร์ทโฟน  เครื่องมือ Smart Crop สำหรับวิดีโอ ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Adobe Sensei จะเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับกระบวนการนี้ โดยจะระบุและครอบตัดเนื้อหาส่วนที่สำคัญที่สุดของวิดีโอโดยอัตโนมัติ เพื่อมอบประสบการณ์ด้านวิดีโอที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้ใช้ ไม่ว่าผู้ใช้จะถือโทรศัพท์ในทิศทางใดก็ตาม

  • เพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการสร้างคอนเทนต์ในการค้นหา ปรับเปลี่ยน และตรวจสอบแอสเซ็ทระดับองค์กร ครีเอทีฟและนักการตลาดจำเป็นที่จะต้องสลับไปมาระหว่างโซลูชั่นต่างๆ  แต่ตอนนี้ ด้วย Adobe Asset Link ซึ่งเปิดให้ใช้งานโดยทั่วไปแล้ว จะช่วยให้ครีเอทีฟสามารถค้นหา แก้ไข และนำเอาดิจิทัลแอสเซ็ทใน Experience Manager กลับมาใช้ได้โดยตรงภายในโปรแกรม Adobe Photoshop, Adobe Illustrator และ Adobe InDesign  ครีเอทีฟจะสามารถค้นหารูปภาพที่คล้ายคลึงกันได้อย่างฉับไวภายในเวลาไม่กี่วินาทีด้วย Visual Search ใน Asset Link  นอกจากนั้น Core Components ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำหรับการสร้างสรรค์ประสบการณ์ จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการสร้างประสบการณ์และลดการพึ่งพาทีมงานฝ่ายพัฒนาในการเขียนและทดสอบโค้ดใหม่ๆ

  • สร้างการสื่อสารกับลูกค้าผ่านหลากหลายช่องทางอย่างรวดเร็ว: ด้วยฟีเจอร์การลากและปล่อยใน Experience Manager Forms องค์กรต่างๆ จะสามารถฝังเนื้อหาคอนเทนต์แบบอินเทอร์แอคทีฟไว้ในการสื่อสารสำหรับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น รวมถึงฟังก์ชั่นการสร้างแผนผังขั้นสูง และการผนวกรวมข้อมูลอย่างง่ายดาย ซึ่งทั้งหมดนี้จะรองรับการนำเสนอการสื่อสารแบบเฉพาะบุคคลสำหรับลูกค้าแต่ละราย เช่น ใบแจ้งยอดรายเดือน โดยมีลักษณะที่น่าสนใจมากขึ้นและใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน  นอกจากนี้ การผนวกรวมอย่างกลมกลืนเข้ากับ Adobe Sign Cloud Signatures ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Adobe Document Cloud จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเซ็นชื่อในเอกสารดิจิทัลในลักษณะที่สอดคล้องตามข้อบังคับ

เครื่องมือสำหรับบุคลากรฝ่ายไอทีและนักพัฒนา
ระบบจัดการคอนเทนต์ (Content Management System - CMS) แบบไฮบริดใน Experience Manager ช่วยปรับปรุงความคล่องตัวและความยืดหยุ่นสำหรับบุคลากรฝ่ายไอทีและนักพัฒนาสำหรับการดำเนินการดังต่อไปนี้:

  • เพิ่มกำลังความจุโดยอัตโนมัติในช่วงที่มีแทรฟฟิกผู้ใช้จำนวนมากการนำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลแบบไดนามิกจำเป็นต้องอาศัยความคล่องตัวในการจัดการการอัพเดตคอนเทนต์ในขอบเขตที่กว้างขวาง  บริการใหม่ Autoscaling ของ Cloud Manager จะตรวจจับความจำเป็นในการรองรับแทรฟฟิกเพิ่มเติมโดยอัตโนมัติ และเพิ่มกำลังความจุของระบบภายในเวลาไม่กี่นาที เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดี

  • สร้างและจัดการประสบการณ์อย่างคล่องตัวปัจจุบัน เนื้อหาเว็บคอนเทนต์มีความลื่นไหลและตอบสนองอย่างฉับไวมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการประสบการณ์ที่มีประสิทธิภาพผ่านช่องทางที่หลากหลายในขอบเขตที่กว้างขวาง  Single-Page Application (SPA) Editor เป็นเครื่องมือใหม่ของอะโดบีที่ช่วยให้นักพัฒนาและนักการตลาดสามารถแสดงตัวอย่าง แก้ไข จัดการ และปรับแต่งเนื้อหาคอนเทนต์ให้สอดรับกับบริบท โดยทั้งหมดนี้รวมอยู่ในที่เดียว จึงช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานร่วมกัน  ด้วยการเรนเดอร์ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์สำหรับ SPA บนไคลเอ็นต์ นักพัฒนาจึงสามารถลดเวลาในการโหลดประสบการณ์ครั้งแรกเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยใช้ SPA Editor และปรับปรุงการค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิ้น (SEO) ควบคู่กันไป  โดย Adobe Target และ Adobe Analytics จะรองรับการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลและการกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกอย่างมีประสิทธิภาพ

  • เพิ่มความรวดเร็วในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นการสนับสนุนสำหรับ GraphQL จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถทำงานบนเครื่องมือแอพพลิเคชั่นส่วนหน้า (front-end) ที่ใช้เป็นประจำ พร้อมทั้งปรับขนาดแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย โดยอาศัย API ซึ่งดึงข้อมูลและคอนเทนต์เข้ามา  การสนับสนุน GraphQL จะขยายขอบเขตครอบคลุมExperience Manager ในช่วงปีนี้ รวมทั้งขยายการสนับสนุนของ Magento Commerce Cloud

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.