สรุปสั้นๆ แบบรวบรัดกับงาน Apple Event "Far Out"

 ผ่านพ้นกันไปแล้วสำหรับงาน Apple Event เปิดตัวแค่ 3 อย่างกับเรื่องที่บอกว่า Far Out ที่หลายคนสงสัยว่าห่างไกลแบบนี้จะมีอะไรดีบ้าง กล้อง iPhone จะเปลี่ยนไปหรือไม่ เรามาดูสรุป โดยผมจะบอกเป็นข้อๆ สั้นๆ พร้อมแล้วมาดูกันเลย

iPhone 14 / iPhone 14 Plus



เริ่มต้นกับ iPhone 14 กับขนาด 6.1 นิ้ว และ iPhone 14 Plus มาแทนรุ่น Mini กับขนาด 6.7 นิ้ว ใครคิดถึง iPhone รุ่นกลางจอใหญ่ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ โดยจะมาพร้อมกับ Retina Display เหมือนเดิม

ขุมพลังของรุ่นนี้เป็น A15 Bionic มาพร้อมกับการเพิ่ม GPU เป็นแบบ 6 Core พร้อมกับเพิ่ม Neural Engine และยังมีการปรับปรุงระบบประมวลผลภาพจากกล้อง เรียกว่า Photonic Engine ช่วยให้เก็บภาพในที่แสงกลางคืนได้ดีมากขึ้น แม้ว่ากล้องความละเอียดเท่าเดิม




ส่วนการถ่ายวิดีโอยังรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K และฟีเจอร์ของ iPhone 13 ยังมีอยู่เพิ่มเติมคือ Action Mode ให้วิดีโอนิ่งมากขึ้นแต่ระบบโฟกัสทำงานด้วยหรือไม่ต้องขอเวลานำมาทดลองเร็วๆ นี้กันนะ 

และยังมีการเพิ่มเรื่องการติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านดาวเทียม หากไม่มีสัญญาณมือถือ หรือ Wi-Fi ทำงานร่วมกับ Apple Watch Series 8 และยังมาพร้อมกับ Crash Detection จับแรง G ได้มากถึง 256G และทำงานได้แบบตัวเดียวหรือ Apple Watch ร่วมด้วยก็ได้

ส่วนสีสันมีให้เลือกทั้งสีมิดไนท์ สีเขียวฟอเรสต์ สีม่วงน้ำหมึก สีน้ำตาลแดงอัมเบอร์ และสีส้ม

ส่วนราคานั้นมีดังนี้

  • iPhone 14 ความจำในตัว 128GB = 32,900 บาท
  • iPhone 14 ความจำในตัว 256GB = 36,900 บาท
  • iPhone 14 ความจำในตัว 512GB = 45,900 บาท
  • iPhone 14 Plus ความจำ 128GB = 37,900 บาท
  • iPhone 14 Plus ความจำ 128GB = 41,900 บาท
  • iPhone 14 Plus ความจำ 128GB = 50,900 บาท

iPhone 14 Pro / iPhone 14 Pro Max



สำหรับรุ่น Pro จะมาพร้อมกับขนาดหน้าจอเท่ากัน แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างนอกจากขอบเครื่องสแตนเลสหรูหรา และมาพร้อมกับ ติ่งที่เล็กลงตามภาพหลุดเลย โดยเขาเรียกว่า Dynamic Island คือกล้องหดลงและเซนเซอร์ Face ID ลดพื้นที่ลงเพื่อให้การแจ้งเตือนทำได้แบบยืดขยายได้เป็นลูกเล่นที่มีเฉพาะรุ่นนี้

การอัปเกรดหลักๆ ที่เห็นโยดมากจะเป็นเรื่องของกล้องแล้วล่ะที่เป็นการอัปเกรดที่ชัดเจนโดยกล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล และมีเซนเซอร์รับสีด้วยกัน ทั้งนี้ยังมาพร้อมกับรูรับแสงที่ใหญ่และยังมีเทคโนโลยี Quad-Pixel ช่วยรวมพิกเซล และรองรับ Apple ProRAW ที่ความละเอียดสูงสุดได้ และยังรองรับการถ่ายภาพซูมได้ 2 เท่า แต่ถ้าเป็นกล้อง Telephoto จะซูมได้ 3 เท่า และ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล



ฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอนอกจาก Action Mode ยังมีการอัปเกรดฟีเจอร์ Cinematic และถ่ายภาพแบบ Apple ProRes ได้เช่นเคยแต่ว่ากล้องความละเอียด 4K เช่นเคยไม่ได้รองรับ 8K นะครับ



ขุมพลังเปลี่ยนเป็น A16 Bionic แรงขึ้นกว่า A13 มากถึง 40% และเป็นแบบ 2 Core แรงและ 4 Core แบบประหยัด แต่มีการ 2 Core แรงกินไฟน้อยลง 20% Neural Engine ที่มากขึ้นมีชิป Display Engine

สีสันของเครื่องจะมาพร้อมกับ Graphite, Gold, Sliver และ Deep Purple ทั้งนี้มีราคาดังนี้

iPhone 14 Pro

  • รุ่นความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท
  • รุ่นความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
  • รุ่นความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
  • รุ่นความจุ 1TB ราคา 63,900 บาท
     

iPhone 14 Pro Max

  • รุ่นความจุ 128GB ราคา 44,900 บาท
  • รุ่นความจุ 256GB ราคา  48,900 บาท
  • รุ่นความจุ 512GB ราคา  57,900 บาท
  • รุ่นความจุ 1TB ราคา 66,900 บาท

Apple Watch Series 8 / Apple Watch SE 








ถัดมาคือ Apple Watch Series 8 และพ่วงไปถึง Apple Watch SE กันหน่อยดีกว่ากับ โดยรุ่นนี้ก็ยังคงมีขนาดไม่แตกต่างจากรุ่นที่แล้วแต่มีฟีเจอร์ในเรื่องการวัดอุณหภูมิในร่างกายได้ แถมยังมีการแจ้งเตือนกับคนในครอบครับได้ด้วยว่าคุณกำลังไม่สบายและเป็นไข้หรือไม่

ระบบความปลอดภัยก็มีการเพิ่ม Crash Detection ทำงานร่วมกับ Gyroscope 3 แกนและ G Sensor ที่จับได้แรงถึง 256G เมื่อมีการเคลือ่นไหแบบนี้ระบบจะส่งสัญญาณ GPS และโทรออกแจ้งขอความช่วยเหลือทันที 

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เกี่ยวกับเรื่องการจับสัญญาณขอความช่วยเหลือผ่านดาวเทียมกับ iPhone ได้ด้วย ที่เหลือก็จะเป็นฟีเจอร์ Low Power Mode ที่ติดมาให้ใช้งานได้ยาวนาน

ส่วน Apple Watch SE นั้นก็จะลดทอนเรื่องวัสดุและมีการใช้หน้าจอที่ขนาดไม่ใหญ่มากแต่ฟีเจอร์แทบจะคล้ายกับ Series 8 ก็ว่าได้

ส่วนราคามีดังนี้

  • Apple Watch Series 8 และ Apple Watch SE จะพร้อมให้สั่งซื้อในเร็วๆ นี้ในราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท และ 9,900 บาท

Apple Watch Ultra


ชิ้นนี้ถือว่าเซอร์ไพรส์หนักมากอยู่แต่ก็มีภาพและรายละเอียดเยอะพอสมควรที่เปิดเผยออกมาคือ Apple Watch Ultra รวมความที่สุดทั้งจอเรียบแต่เป็นแบบ ซับไฟร์ และบอดี้แบบไทเทเนียม และมีสายให้เลือกทั้งแบบวิ่งเทล, สายแบบถัดและสายเพื่อใช้ในการดำนาน 

โดยรุ่นนี้ออกแบบเพื่อให้คนที่ออกกำลังหนักๆ สามารถมีปุ่มกดที่กด Mark จุดนำทางเพื่อย้อนกลับทางปกติ และยังมาพร้อมกับ การออกแบบ Digtial Crown ที่แข็งแรง และยังรองรับการดำน้ำ และยังกันน้ำขั้นเทพ 

แบตเตอรี่เพิ่มการใช้งานแบบปกติที่ 36 ชั่วโมงแต่สามารถลากใช้งานได้นานสุด 60 ชั่งโมงด้วยกัน ทั้งนี้ราคาของ Apple Watch Ultra จะอยู่ที่ 31,900 บาท

AirPods Pro 2 





ปิดท้ายกับ หูฟังรุ่นท็อป มีการเปลี่ยนแปลงโดยใช้ชิป H2 มาพร้อมกับระบบ ANC ที่มาพร้อมกับคุณภาพที่ดีมากขึ้น และนอกจากนี้มาพร้อมกับ คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นอยู่พอสมควรแต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่ารองรับคุณภาพเสียงแบบ 24-bit

นอกจากนี้ก้านก็มีการเพิ่มฟีเจอร์ปรับขึ้นและลงเข้ามาด้วยส่วนราคาของ AirPods Pro 2 จะอยู๋ที่ 8,990 บาท เช่นเดียวกัน 

ข่าวดีคือ Apple ได้เป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ วางจำหน่าย ดังนั้นก็มีข่าวดีว่าเปิด Pre Order 9 กันยายน และ วางจำหน่ายจริง 23 กันยายน นี้

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.